นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford Medicine) ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการค้นพบและพัฒนายาใหม่ๆ ซึ่งระบบ AI นี้จะช่วยลดเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการวิจัยและทดสอบยา อันจะนำไปสู่การค้นพบยาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงได้เร็วยิ่งขึ้น

Body: การพัฒนายาใหม่นั้นเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานานและต้องอาศัยทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งในแง่ของการวิจัย การทดสอบ และการผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งโดยปกติแล้วอาจใช้เวลาหลายปีหรือแม้แต่หลายทศวรรษกว่ายาใหม่จะถูกนำมาใช้จริง

ระบบ AI ที่ทีมวิจัยจาก Stanford Medicine พัฒนาขึ้นมานั้น มีเป้าหมายเพื่อช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นพบยาใหม่ โดยอาศัยการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ผ่านอัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ซับซ้อน

ระบบ AI นี้จะทำหน้าที่ใน 3 ด้านหลักๆ ได้แก่

  1. การวิเคราะห์และคัดกรองสารประกอบที่มีแนวโน้มจะใช้เป็นยาได้ จากฐานข้อมูลสารเคมีขนาดใหญ่
  2. การทำนายผลข้างเคียงและความเป็นพิษของสารประกอบแต่ละชนิด ผ่านแบบจำลองคอมพิวเตอร์
  3. การออกแบบและปรับปรุงโครงสร้างโมเลกุลของสารประกอบ ให้มีประสิทธิภาพและความจำเพาะเจาะจงต่อเป้าหมายการรักษาสูงสุด

จากการทดสอบระบบ AI นี้กับการพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ พบว่าสามารถลดเวลาในขั้นตอนการคัดกรองสารประกอบได้กว่า 70% และลดจำนวนสารประกอบที่ต้องนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการลงได้ถึง 90% ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนได้อย่างมหาศาล นอกจากนี้ ยังพบว่ายาปฏิชีวนะที่พัฒนาขึ้นโดยอาศัย AI มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้ดีกว่ายาที่พัฒนาด้วยวิธีแบบดั้งเดิมอีกด้วย

ระบบ AI เพื่อการค้นพบและพัฒนายาที่นักวิจัย Stanford คิดค้นขึ้นมานี้ ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญของการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในวงการเภสัชกรรมและการแพทย์ ซึ่งมีศักยภาพอย่างมากในการเร่งกระบวนการค้นพบยาใหม่ๆ ให้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเข้าถึงผู้ป่วยได้ในวงกว้างมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอีกหลายประการที่ต้องได้รับการแก้ไข ทั้งในแง่ของการเข้าถึงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ, การตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของ AI, รวมถึงประเด็นทางจริยธรรมและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่หากเราสามารถบริหารจัดการประเด็นเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เชื่อว่า AI จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนวงการยาและการดูแลสุขภาพให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นอย่างแน่นอน